แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วรรณกรรมไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วรรณกรรมไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความสุขของกะทิ"บ้านกลางเมือง"

ที่มา http://content.mthai.com/data/31/1/2008-12-04/31615/detail/images/1


"แม่รู้ว่าวันหนึ่งหนูจะมาที่นี่"
ใกล้เที่ยงแล้วเมื่อรถเลี้ยวเข้าซอยเล็กที่แยกจากถนนใหญ่อันจอแจ ในทันทีนั้น การจราจรหนาแน่นเหมือนถอยห่างไปไกลกะทิเห็นคลองเล็กๆคู่ขนานไปกับถนนขวามือ มีต้าก้ามปูขึ้นเป็นระยะ ไม่มีอะไรเหมือนบ้านชายทะเลที่จากมาและแตกต่างอย่างลิบลับกับบ้ายริมคลองที่กะทิยังไม่กลับไปในตอนนี้ กระนั้นบ้านกลางเมืองก็ดึงดูดความสนใจของกะทิตั้งแต่นาทีแรกที่เข้ามา
           ห้องโถงกลางปูหินอ่อน เสียงส้นรองเท้าของน้าฎาก้องสะท้อนอยู่ในความเงียบกะทิเดินตามน้าฎาขึ้นลิฟต์ไปชั้นสิบสาม น้ากันต์หันมาบอกว่า แม่ชอบเลขสิบสามตอนมาซื้อห้องชุดที่นี่ก็ถูกใจที่มีห้องว่างชั้นสิบสามพอดี
           น้าฎากัดริมฝีปากก่อนจะส่งพวกกุญแจรูปดาวสีแดงให้กะทิไขเปิดเอง "พี่ภัทรสั่งไว้ให้ทิเป็นคนเปิดประตู" กะทิได้ยินเสียงน้าฎาหันไปพูดค่อยๆกับน้ากันต์ ดูเหมือนแม่จะวาดภาพสิ่งต่างๆทีี่เกิดขึ้นหลังจากแม่ไปแล้วโดยละเอียดกะทิไม่รูเสึกอึดอัด กลับรู้สึกเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ๆช่วยคลายความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าในอกลงไปได้บ้าง
            ในพวงกุญแจยังเหลือกุญแจอีกดอกที่ยังไม่ได้ไขประตู กะทิเข้าใจว่าเป็นห้องชั้นบนที่น้าฎายังไม่อยากให้กะทิขึ้นไป คงจะมีอะไรรอกะทิอยู่หลังประตูบานสุดท้ายบานนั้น บ่ายนี้กะทิจะขึ้นไปดู

"หนูคืออนาคตของแม่ตั้งแต่วันที่ชีวิตแม่นับถอยหลัง" 
ภายในห้องชั้นบนมืดสนิทก่อนที่ลุงตองจะรูดเปิดม่านหนาหนักเพื่่อรับแสงตะวันที่รับสาดส่องเข้ามา กะทิหยีตาสู้แสงและพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของชั้นล่างจุดเด่นของห้องคือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของห้องสีขรึม เก้าอี้บุหนังตัวโตตั้งอยู่ด้านหลัง เชิญชวนให้กะทิเดินไปทรุดตัวลงนั่ง ลุงตองยืนกอดอก ทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง มองจากตรงนี้เห็นสระว่ายน้ำเต็มตา น้ากันต์บอกว่ากะทิอยากว่ายน้ำตอนไหนก็ให้บอก น้ากันต์จะลงเป็นเพื่อน
          "แม่ของกะทิจัดห้องนี้เองตั้งแต่ตอนเริ่มป่วยใหม่ๆก่อนหน้านั้นใช้เป็นห้องทำงานธรรมดา หนูทิดูของในห้องนี้วันเดียวคงไม่หมด แม่อยากให้หนูรู้จักแม่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ถ้าไม่นับคุณตาคุณยายของหนู ลุงก็เป็นคนที่อยู่กับแม่มานานกว่าใคร แม่จึงเลือกลุงตองกับยายเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ลุงตองกับแม่มาสนิทกับแม่ตอนอยู่รั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน บางคนเตรียมทำหนังสืองานศพตัวเองอย่างที่อยาหให้คนอยู่หลังรู้จัก แม่ของหนูทิจัดห้องนี้ไว้ให้หนูคนเดียวรวบรวมทุกอย่างในชีวิตมาไว้ที่นี่หนูที่อยากรู้จักแม่ตอนไหนของชีวิตก็ทำได้เลย"

ความสุขของกะทิ "บ้านชายทะเล3"

ที่มา https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsfpOaFmjcnV9F5HM2R9EXEewvcgNWa2PFFKcS98gsElhgQDXOUB575RUH2KVBfFhIHf3ZowyDFgsE1m5fNCZpFGqCFObSCnDdfGW2b05lwbzeQFOovpZ8XkZEFcUEYKGbeoTyI4tXOLc/s320/003.jpg


"หนทางในวันข้างหน้าดูเหมือนไม่มีจริง"
            สรุปว่าพระเอกที่ขี่ม้าขาวมาช่วยกะทิกับแม่ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่ทองยิ้มสยามนั้นเอง แม่บอกว่าพี่ทองตื่นเต้นกับ "สาวชาวกรุง" วัยสี่ขวบมาก ชอบพายเรือมาชมโฉมสาวบ่อยๆ วันนั้นพี่ทองคงมาอย่างเคย แล้วเลยพายเรือตามมา ตั้งใจจะมาเล่นด้วย เรือของพี่ทองปรากฏให้เห็นแทยในทันทีที่สิ้นเสียงฟ้าผ่า พี่ทองว่ายน้ำแข็งแบบเด็กริมคลองของแท้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะประคองเรือที่กะทินั่งอยู่ให้เข้ามาเทียบท่าอย่างปลอดภัย อีกทั้งอุ้มกะทิมาส่งให้ถึงมือแม่ "เหมือนแมวคาบหนู" แม่เล่าทั้งน้ำตา พี่ทองตัวเล็กกว่าอายุุ แถมกะทิก็อ้วนกลมแบบเด็กอยู่ดีกินดี แม่กะกอดกะทิกอดพี่ทองไว้ด้วยกัน ร้องไห้ปนหัวเราะอยู่กลางสายฝน ก่อนจะขึ้นไปหาที่หลบฝนในศาลา
            แม่เล่าต่อว่า ไม่นานตากับลุงๆหลายคนในละแวกกฝ่าฝนพายเรือมากู่ร้องตามหาแม่กับกะทิ เอาผ้าห่มเอาร่มมาด้วย แต่ทั้งแม่ ทั้งพี่ทอง ทั้งกะทิ ก็เปียกปอนไม่เหลือคืนนั้นกะทิจับไข้ ต้องนั่งเฝ้าเช็ดตัวกันทั้งคืนกว่าจะสร่างไข้ตอนใกล้รุ่ง พอฟ้าสางแม่ก็เก็บกระเป๋าและออกจากบ้านริมคลองไปอย่างไม่ล่ำลาและไม่หวนกลับมาอีก
            กะทินึกอออกว่ายายโวยวายแค่ไหน แต่ก็นึกออกไปพร้อมๆกันถึงสีหน้าเคร่งๆของตาที่คงจะพูดสั้นๆว่า "ภัทร ต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ สักวันคงบอกให้เรารู้" แล้วตาก็คงเลี้ยงดูกะทิเรื่อยมา
            กะทิรู้สึกคันๆในหัวใจ สุดท้ายกวางมือจากบ่อทรายและหันไปหาน้ากันต์
            "ขอทิยืมโทรศัพท์มือถือหน่อยได้ไหมคะ"
            เช้าวันที่จาบ้านริมคลอง พี่ทองส่งกระดาษชิ้นน้อยให้กะทิ พร้อมกับบอกยิ้มๆว่า เบอร์มือถือของหลวงลุงน่ะเผื่อกะทิอยากคุย โทร.มาตอนไหนก็ได้ พี่ทองเป็นคนรับเองแล้วยังต่อท้ายว่า หรือจะ "เมล" มาก็ได้ ทีที่อยู่อีเมลเขียนมาให้เสร็จ
             กะทิเห็นน้ากันต์กลั้นยิ้มเมื่อกะทิส่งเสียงพูดกับคนปลายทาง เสียงคุ้นหูที่มีกระแสความดีใจอย่างปิดไม่มิดทำให้รอยคันๆในอกเหมือนจะจางลงในพริบตา
             "พี่ทอง ทิพูดนะ พี่ทองอยากฟังเสียงทะเลไหม"
           
"ไม่น่าเชื่อว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะยังขึ้นให้เห็นบนฟ้าเหมือนเดิม"
           แม่เป็นไข้สูงมาหลายวันแล้ว คุณบุงหมอประดิษฐ์มีสีหน้าไม่ดีทุกครั้งที่กกลับออกไปจากบ้านชนคลื่น น้าดาบอกว่าคุณลุงหมออยากให้แม่เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จะเป็นหัวหินนี้หรือที่กรุงเทพฯก็ได้
           "เอาช้างจากเขาตะเกียบมาฉุดก็ไม่สำเร็จหรอก" ลุงตองทำเสียงสูง
            ที่แม่พยายามหลีกเลี่ยงที่สุดคือการใช้เครื่องช่วยหายใจนัยน์ตาของแม่เด็ดเดี่ยว และทุกคนที่รักแม่ก็ต้องยอมทำตามแม่บอกว่าแม่โชคดีแล้วที่เลือกทางตายได้ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกตายก็ไม่ได้แต่กรณีของแม่ แม่ถือว่าขอใช้สิทธิเท่าที่ชะตาชีวิตเปิดช่องว่างให้ ขออย่าให้ใครขัดขวางเลย


          "น้ำตาไม่อาจแทนความโศกเศร้าได้"

แม่โคมม่าอยู่สามวันก่อนจะจากไปอย่างสงบ
           น้าฎาเดดินออกจากห้องเป็นคนแรกและกอดกะทิไว้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็ดูจะสื่อความหมายได้ดี ไม่มีน้ำตาให้เห็น ดวงตาของน้าฎาแห้งผาก และน้าฎาเหมือนจะเปลี่ยนไปจาเดิมในชั่วข้ามคืน
           แม่บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล พิธีสวดจึงมีเพียงสามวัน ตาเลือกวัดบนเขาที่มีศาลาห้องโถงกว้างขวาง ลุงตองเป็นเจ้าพิธีและฝ่ายสถานที่ มีแขกทยอยมาทุกคืน ทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมรุ่น รวมไปถึงลูกค้า ตาเกรงใจแขกที่มามากเพราะต้องเดินทางไกล แต่ทุกคนก็ยินดีมาล่ำลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย
             

ความสุขของกะทิ "บ้านชายทะเล2"




ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/home/blog_data/84/8084/images/kati/kati022_jhZOLYQWed45514.jpg



 "อดีตเหมือนเงาบางครั้งทอดนำทางอนาคต"
            "หนูเกิดหลังเที่ยงคืน ก็เลยเป็นวัยแห่งความรักพอดี ลุงตองดีใจมาก ไม่รู้ไปหากุหลาบสีแดงมาจากไหน เต็มห้องไปหมด จนทะเลาะกับพยาบาล แต่ก็สวยจริงๆ มองไปทางไหนเห็นแต่สีแดงสลับขาว"
แม่นิ่งไปเหมือนกำลังนึกภาพห้องพักในโรงพยาบาลที่แปรสภาพกลายเป็นห้องแห่งความรักด้วยฝีมือนักจัดดอกไม้มืออาชีพอย่างลุงตอง
            "ตาตั้งชื่อให้หนูว่าณกมล 'แห่งหัวใจ' ตาชอบ ณ เณร ชื่อแม่ก็มี ณ เณร ตาตั้งให้เหมือนกัน"
            แม่ชื่อ ณภัทร ตาบอกว่าแปลว่า 'แห่งความดีความงาม' ดูเหมือนจะเข้ากันดีกับแม่
            "ตอนนั้นตากับยายยังไม่ได้ย้ายไปอยู่บ้านริมคลองตาเห่อหนูมาก ที่จริงก็เห่อกันหมดทุกคน ลุงตองยุ่งวุ่นวายที่สุด แม่ไม่เคยเห็นลุงตองชอบเด็กคนไหนมาก่อน แต่กลับเห่อหนูมากขนาดทิ้งงานมานั่งเฝ้า แล้วเลยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับยายมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย นี่ไงจ๊ะ รูปนี้ตัดผมไฟให้หนู ตาลงมือเขียนใส่กรอบโก้เชียว"
            ดูจะเป็นวันคืนแห่งความสุขของทุกคน แม้ว่าในสายตาของคนทั่วไป ใครคนหนึ่งขาดหายไปจากภาพนี้อย่างที่ไม่มีการพูดถึง
            กะทิดูเพลิน แม่เว้นจังหวะเป็นระยะเพื่อหันหน้าไปอมท่อยาวๆ ที่เชื่อมต่อกับเครี่องไบเพพ โรคเอแอลเอส ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนใช้งานไม่ได้ในที่สุด เครื่องไบเพพปั๊มอากาศเข้าปอดให้แม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เวลาหลับแม่จะสวมหน้ากาก แต่กลางวันแบบนี้แม่จะเพียงอมท่อเวลาที่รู้สึกหายใจไม่สะดวก
            "ตากับยายย้ายไปอยู่บ้านริมคลองแล้ว แม่สนับสนุนเอง เพราะตาผัดผ่อนมาเกือบปีตั้งแต่ทำบ้านใหม่เสร็จ แม่รู้ว่าเป็นความฝันของตาที่จะใช้ชีวิหลังเกษียณแบบชาวบ้าน แม่ไม่มีโอกาศไปเยี่ยมบ่อยอย่างที่ตั้งใจ งานของแม่มากจนล้นมือ คนกำลังเห่อ 'อีคอมเมิร์ซ' ขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตไงจ๊ะ แม่จับด้านนี้มาตั้งแต่ประจำอยู่ที่ฮ่องกง มอบงานให้ใครช่วยแทบไม่ได้ ต้องคอยแก้ปัญหา เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้บริษัทต่างชาติที่มาตั้งในเมืองไทย
            "แล้วแม่ก็เริ่มป่วย ทีแรกแม่ก็นึกว่าทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ แม่ทำของหล่นบ่อย ก้าวพลาดตกบันไดประจำทั้งที่บ้านและสำนักงาน รูปนี้แม่ทำหนูตกบันไดสะพานลอย ถลอกปอกเปิกทั้งแม่ทั้งลูก"
            "แต่แม่เริ่มแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่สบาย แม่ลางานกลับไปอยู่กับตายายหลังจากรู้ผลตรวจแน่นอน แม่ยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการกับชีวิตยังไง แล้วก็เกิดเรื่อง"
            "ลึกๆแล้วแม่คงยังไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมแม่พาหนูลงเรือพายไปเที่ยวในคลอง ตากับยายไม่ทันเห็น ไม่อย่างนั้นคงห้ามเสียงแข็ง ไม่รู้เหมือนกันนะจ๊ะว่าแม่จะฟังไหม แม่อยากพาหนูไปดูต้นก้ามปูใหญ่ริมทุ่ง เราสองคนไปถึงศาลากันอย่างปลอดภัยดี หนูชอบน้ำมาก ชอบเรือ ชอบศาลา ชอบดอกผักบุ้ง เราเพลินเล่นเพลินคุยจนไม่ทันเห็นเมฆที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล แม่ตัดสิจใจผิดซ้ำสอง แทนที่จะรออยู่ในศาลาให้ฝนตกจนหยุดแล้วค่อยกลับบ้าน แต่แม่เห็นหลังคาศาลาผุๆพังๆ ก็กลัวจะกันฝนไม่ได้ มองอีกที เมฆฝนยังอยู่อีกไกล ก็คิดว่ามีเวลาพอพายเรือพ้นทุ่ง ถ้าไปไม่ถึงบ้านก็จะแวะหลบฝนที่บ้านหลังแรกริมคลองที่ไปถึง"
            "แม่ลนลานเก็บของใส่ตะกร้า สวมหมวกให้หนู จูงหนูลงบันได ลมพัดแรงขึ้นทุกที เรือไม่อยู่นิ่ง โคลงเคลงไปมา แม่วางหนูบนเรือ แล้วหันไปปลดเชือกล่ามเรือ แต่มือของแม่... แม่ยิ่งรีบก็ยิ่งงุ่มง่าม แม่ก้าวขึ้นจากเรือไปแก้ปมเชือกให้ถนัด พอเชือกหลุดจากหลักก็กลุดจากมืิอแม่ด้วยแม่ตกใจรีบคว้าไม้พายเพื่อยึดเรือไว้ แม่กะจังหวะผิดหมดของง่ายๆ แม่ก็ทำไม่ได้ แล้วเรือก็ลอยห่างจากท่าตามระลอกคลื่นในน้ำ เรือที่มีหนูนั่งอยู่คนเดียว"
             "แม่พยายามกุมสติ ร้องบอกให้หนูนั่งนิ่งๆ แม่กลัวว่าหนูจะตกใจ ลุกขึ้นโผมาหาแม่แล้วเรือจะล่ม แม่รู้แล้วว่าตััวเองไม่อยู่ในสภาพเหมือนก่อน แม่ไม่มีทางกระโดดลงน้ำไปอุ้มหนูขึ้นมาได้ แต่ไม้พายที่แม่พยายามยืนจนสุดแขนไปยึดเรือกลับมาทำได้แค่แตะถูกตัวเรือ แล้วไม้พายก็หลุดมือหล่นน้ำไปอีก แม่เหมือนบ้า ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว แม่ร้องตะโกนแข่งกับเสียงฟ้าให้หนูนั่งนิ่งๆ แม่ไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงดี แม่ร้องไห้แข่งกับฝน โกรธตัวเอง โกรธฝน โกรธฟ้า ที่สำคัญคือ กลัวจนเหมือนหัวใจหยุดเต้น แม่ร้องโหยหวนใครก็ได้ช่วยที ช่วยลูกของแม่ด้วย แม่ตะเบ็งจนสุดเสียง ทั้งๆที่ีรู้ว่าไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน ต่อให้ไม่มีเสียงฝนฟ้าคะนองแบบนี้"
            "แล้วแม่ก็สวดมนต์อยู่ในใจ ทุกคาถาที่ยายเคยสอนเท่าที่นึกได้ สวดมนต์แล้วก็อธิธฐาน จะเรียกว่าบนบานก็ได้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอภินิหารมีจริง ขอให้ลูกของแม่ปลอกภัย แม่ยอมแลกทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ คนทั่วไปคงอธิษฐานเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก แต่ชีวิตของแม่คงแลกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฟ้าผ่าเปรี้ยงเหมือนรับรู้เมื่อแม่อธิษฐานว่า ถ้าลูกปลอกภัย แม่จะไม่แตะต้องตัวลูกอีกเลย แม่จะไปให้ไกลจากลูก ไม่ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในอันตรายอีกแล้ว"

ความสุขของกะทิ"บ้านชายทะเล1"

บ้านชายทะเล


ที่มา http://p3.isanook.com/ca/0/ud/275/1375401/2.jpg




"นานหลายปีทีเดียวที่กะทิไม่ได้พบแม่"
            ดอกสีแดงของต้นหางนกยูงสองข้างทางผ่านตาไปอย่างรวดเร็วรถคลื่อนที่ไปข้างหน้าเหมือนลอยไปในอากาศ ในตัวของกะทิเบาโหว่งเหมือนกล่องเปล่า ทั้งๆที่ตลอดสองวันที่ผ่านมา หัวใจเต้นรัวถี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
            เหตุการณ์หลังจากคำถามในห้องพระเหมือนเกิดขึ้นกับคนอื่น เหมือนกะทิมองดูตัวเองเคลื่อนไหวโต้ตอบ กะทิเห็นตาเดินเข้ามาในห้องพระ ดึงกะทิไปกอดไว้ และพูดกับกะทิช้าๆ บอกกะทิว่า แม่ป่วย ป่วยมาก ไปรักษาตัวมาหลายแห่งแล้ว แต่ไม่หาย
            น้าฎาเป็นคนขับรถมารับกะทิและตากับยาย ตาให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะไปหาแม่หรือไม่ไป ตาส่ายหน้าเหมือนไม่แน่ใจเมื่อพูดว่า ที่ผ่านมาคนอื่นๆคิดแทนกะทิมาตลอดครั้งนี้กะทิเลือกได้
            ในรถเย็นฉ่ำ แสงแดดภายนอกแรงกล้าขึ้นทุกที ครอบครัวเราออกเดินทางกันแต่เช้า รถแล่นมาบนถนนสายใหญ่ ชะลอเมื่อถึงด่านเก็บเงิน และเร่งความเร็วเมื่อขึ้นบนถนนลอยฟ้าที่วกวนซ้ายขวาเหมือนรถไฟเหาะในสวนสนุกขณะแทรกผ่านหมู่ตึกสูง ป้ายโฆษณาเข้าแทนที่ทิวทัศน์ธรรมชาติ กะทิดูเพลินและนึกชมน้าฎาว่าขับรถเก่ง และราวเพียงอึดใจรถก็กลับลงบนถนนที่วิ่งออกนอกเมืองอีกครั้ง กะทิเผลอหลับไป และลืมตาตื่นมาพบกับสีแดงเพลิงของดอกหางนกยูง
            รถวิ่งลงใต้ ซ้ายมือเป็นทะเลและหาดทราย ขวามือเป็นทิวเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ เสียงตากับยายพูดคุยเบาๆอยู่เบาะหลัง น้าฎาพูดโทรศัพท์มือถือเป็นระยะ ฟังแล้วกะทิก็รู้ว่าอีกไม่ไกลกะทิก็จะพบแม่
            ตาเรียกต้นหางนกยูงว่า "เพลิงแห่งพนาไพร" กะทิเพิ่งรู้ว่าชื่อเต็มๆ คือหางนกยูงฝรั่ง ถ้าเป็นต้นหางนกยูงพันธ์ไทย ดอกจะมีหลายสี ทั้งเหลือง ชมพู และแดง ไม่ใช่แดงอมส้มอย่างที่เห็นเต็มตาอยู่ในตอนนี้ กะทิชอบที่ต้นหางนกยูงขึ้นเรียงเป็นระเบียบ ตาบอกว่าสมัยก่อนมีมากกว่านี้อีก ตอนสร้างสนามบินถูกโค่นทิ้งไปเยอะ น้าฎาคงเห็นกะทิชะเง้อคอมองดอกสีแดงๆ จึงจอดรถที่ศาลาริมทาง ตาชอบใจว่าได้ยืดแข้งยืดขา ยายยกตะกร้าของขบเคี้ยวลงมาด้วย ต้นไม้แถวนี้ดูแปลกตากว่าแถวบ้านที่กะทิจากมา มีกลิ่นไม่คุ้นจมูกแทรกอยู่ในบรรยากาศ กะทิเดาเอาเองว่าเป็นกลิ่นน้ำเค็ม
            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเบาๆ แต่ก็ทำทุกคนนิ่งชะงัก น้าฎาพูดค่อยๆว่า จะไปกันเดี๋ยวนีี้เลย เป็นครั้งแรกที่กะทิเห็นตาจูงมือยาย ยายบีบหูตะกร้าจนข้อนิ้วเป็นสีขาว ปลายนิ้วของน้าฎาเย็นจัดเมื่อสัมผัสอุ้งมืออุ่นๆของกะทิ กะทิก้มลงเก็บสิ่งเล็กๆของหางนกยูงจากพื้นใกล้ตัว ดอกสีแดงยังพอมีกลีบสวยงามให้เห็น กะทิจะเอาไปฝากแม่
            รถจอดหน้าบ้านหลังเล็กสีขาวสะอาดตา ตัดกับกรอบหน้าต่างสีฟ้าสด ไม่มีใครต้องบอก ไม่มีใครต้องสั่ง กะทิเปิดประตูรถและปล่อยให้หัวใจนำทาง
            แม่พรมจูบกะทิซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมนุ่มยาวของแม่หอมชื่นใจ เสียงของแม่ที่กะทิจำได้ดังอยู่ที่ริมหู

            "กะทิลูกแม่ กอดแม่แน่นๆซิจ๊ะ ลูกรัก"

            ไม่ต่างกันตรงไหนที่แม่กอดกะทิหรือกะทิกอดแม่น้ำตาจากความดีใจไหลรินรวมกัน กะทิกางแขนกอดแม่อย่างที่ฝันไว้ กอดแม่แทนคำว่ารักจากใจ แทนคำว่าเข้าใจที่ต้องแยกห่าวจากกัน แทนคำว่าคิดถึง นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่ากะทิจะปล่อยแขนจากแม่

ความสุขของกะทิ "บ้านริมคลอง"

ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/home/album_data/882/5882/album/9695/images/78478.jpg



บ้านริมคลอง 

" แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา "
           เสียงกระทะกับตะหลิวทำให้กะทิตื่นขึ้นเหมือวันก่อนๆ ที่จริงแล้วกลิ่นหอมกรุ่นๆของข้าวสุกก็มีส่วนด้วย รวมทั้งกลิ่นควนจากเตาและกลิ่นไข่ทอด แต่เสียงตะหลิวเคาะกระทะต่างหากที่ดึงกะทิให้พ้นจากภวังค์นทราและภาพฝันสู่วันใหม่
           กะทิไม่เคยใช่เวลาล้างหน้าแต่งตัวนาน ตาล้อบ่อยๆว่าวิ่งผ่านน้ำเสร็จแล้วหรือ ยายหันมามองเมื่อกะทิเข้ามาในครัวยายไม่เคยยิ้มตอบหรือทักทาย ตาบอกว่ายิ้มของยายมีน้อยต้องสงวนเอาไว้อัดกระป๋องส่งออกไปขายต่างประเทศ

"กะทิรอแม่ทุกวัน"
            ปิ่นโตเป็นของรักของกะทิ ขนาดกะทะรัด น้ำหนักเบา ยายรู้ขนาดกระเพาะของกะทิ ไม่อยากเห็นของเหลือกลับมาบูดเสีย จึงจัดข้าวให้กินอิ่มพอดี ตาเลยเรียกปิ่นโตว่า อาหารมือถือ ส่วนรายการอาหารก็ไม่หนีไข่ดาวกับไก่ผัดกะเพรารสเด็ด ไข่พะโล้สีน้ำตาลเข้มน้ำเข้าเนื้อเพราะทิ้งไว้ข้ามคืน ไข่ลูกเขยฉ่ำน้ำข้นเหนียว ไข่ตุ่นเนื้อเนียนสนิท ไข่นกกระทาชุบแป้งทอด ตาเรียกกะทิว่า "ตัวกินไข่" เมื่อรู้จากยายว่าถ้ารายการอาหารเป็นไข่ ไม่ต้องชวน กะทิก็ชิมจนหมดทุกครั้ง
            รถสองแถววิ่งผ่านปากทางเข้าบ้าน ตาขี่จักรยานพากะทิไปรอขึ้นรถ กะทิชอบกอดเอวตาแน่นๆ ชอบกลิ่นโคโลญตราเรือใบหอมๆของตา ชอบลมอ่อนๆที่พัดมาไล่เหงื่อชื้นให้แห้งหายไป เด็กๆอัดแน่นมาเต็มรถแล้ว เพราะโรงเรียนอยู่อีกไม่ไกล ตาส่งเสียงให้ผู้โดยสารขยับที่ให้กะทิพอนั่ง แล้วสั่งให้ลุงหล่อคนขับออกรถช้าๆ
            เด็กๆเอาปิ่นโตไปวางเรียงในโรงอาหารก่อนเอากระเป๋าหนังสือไปเก็บในห้องเรียน ปิ่นโตเล็กใหญ่สูงต่ำต่างสี เสียงกริ่งสัญญาณพักเที่ยงดังก้องกังวาน กะทิวิ่งแข่งลงบันไดมากับเพื่อนๆ สวนกับพี่ทองที่หน้าห้องพักครู พี่ทองยิ้มให้ก่อนที่จะแยกตัวกลับไปวัด พี่ทองบอกว่าทุกกลางวันมีอาหารบุฟเฟ่ต์รออยู่
            ตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน กะลิล้างปิ่นโตและวางคว่ำไว้ที่อ่างในครัว ค่ำๆค่อยมาเช็ดให้สะอาดอีกที แล้วยกไปวางข้างเตาใกล้มือยายตตอนเช้า ในยามค่ำคืน ปิ่นโตคงถามเตาไฟแกเหงาว่า วันที่ผ่านมายายทำอะไรบ้างนอกจากโมโหตา
"ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่เลย"
            กะละมังบอกให้รู้ว่ายายอยู่ตรงส่วนไหนของบ้าน กะทิมีหน้าที่เก็บผ้าจากราวใส่กะละมังให้ยาย ทำมาตั้งแต่เอื้อมมือไม่ถึงไม้หนีบผ้าบนราว  ที่จริงไม้หนีบผ้าเมื่อตอนซื้อมาก็เป็นไม้หนีบผ้าทำจากเนื้อไม้ธรรมดา กะทิเองที่เอามาลงสีเทียนบ้าง สีไม้บ้าง สีน้ำบ้าง ตามถนัดในแต่ละวัย
            ในห้องอเนกประสงค์ของยาย หรือที่ตาเรียกว่าออฟฟิศของยาย จะมีกะละมังวางเข้าแถวไว้ กะทิต้องแยกผ้าที่เก็บมาใส่ลงกะละมังให้ถูกต้อง เสื้อผ้าของตา ของยาย ของกะทิเอง แยกคนละใบ เสียงฝนสาดซ่ากระทบหลังคาชวนฟังมากขึ้นเมื่อมีเสียงเปราะแปะกระทบกะละมังที่ใครคงเผลอลืมไว้นอกชายคาแทรกผสมเข้ามา กะทินอนฟังเพลิน แต่จะเริ่มสะดุ้งหากเสียงรัวกราวพ่ายต่อเสียงครั่นครื้นของฟ้าเสียงสายฟ้าฟาดเหมือนตามมาด้วยเสียงคนกรีดร้องปานใจสลายทุกครั้งไม่รู้ว่าหูของกะทิแว่วไปเองหรือเสียงนั้นดังมาจากเบื้องลึกของความทรงจำ
"ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่" 
ตาหาซื้อเรืออีแปะหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเรือป๊าบมาไว้พายเล่นในทุ่งหน้าน้ำ ตาบอกว่าเป็นการปลีกวัิเวกพ้นจากมลพิษทางเสียง (ของยาย) กะทิกับตาจะไปกันสองคนออกเดินทางกันตอนสายๆ ตาพายเรือสบายๆผ่านมาในคลองที่สองข้างทางมีไม้ผลให้เห็น เช่น มะม่วง ชมพู่ ต้นโสน ที่ชอบขึ้นริมน้ำบ้าง ตาไม่หยุดแวะพัก แต่ร้องทักทายทุกคนที่เห็น ลุงสนกำลังทอดแหอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้านท่าทางจะได้ปลาตะเพียนหลายตัว ตาบอกว่าขากลับจะแวะขอปันไปให้ยายแช่น้ำปลาทอดกรอบเป็นอาหารเย็นให้กะทิ