วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความสุขของกะทิ "บ้านริมคลอง"

ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/home/album_data/882/5882/album/9695/images/78478.jpg



บ้านริมคลอง 

" แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา "
           เสียงกระทะกับตะหลิวทำให้กะทิตื่นขึ้นเหมือวันก่อนๆ ที่จริงแล้วกลิ่นหอมกรุ่นๆของข้าวสุกก็มีส่วนด้วย รวมทั้งกลิ่นควนจากเตาและกลิ่นไข่ทอด แต่เสียงตะหลิวเคาะกระทะต่างหากที่ดึงกะทิให้พ้นจากภวังค์นทราและภาพฝันสู่วันใหม่
           กะทิไม่เคยใช่เวลาล้างหน้าแต่งตัวนาน ตาล้อบ่อยๆว่าวิ่งผ่านน้ำเสร็จแล้วหรือ ยายหันมามองเมื่อกะทิเข้ามาในครัวยายไม่เคยยิ้มตอบหรือทักทาย ตาบอกว่ายิ้มของยายมีน้อยต้องสงวนเอาไว้อัดกระป๋องส่งออกไปขายต่างประเทศ

"กะทิรอแม่ทุกวัน"
            ปิ่นโตเป็นของรักของกะทิ ขนาดกะทะรัด น้ำหนักเบา ยายรู้ขนาดกระเพาะของกะทิ ไม่อยากเห็นของเหลือกลับมาบูดเสีย จึงจัดข้าวให้กินอิ่มพอดี ตาเลยเรียกปิ่นโตว่า อาหารมือถือ ส่วนรายการอาหารก็ไม่หนีไข่ดาวกับไก่ผัดกะเพรารสเด็ด ไข่พะโล้สีน้ำตาลเข้มน้ำเข้าเนื้อเพราะทิ้งไว้ข้ามคืน ไข่ลูกเขยฉ่ำน้ำข้นเหนียว ไข่ตุ่นเนื้อเนียนสนิท ไข่นกกระทาชุบแป้งทอด ตาเรียกกะทิว่า "ตัวกินไข่" เมื่อรู้จากยายว่าถ้ารายการอาหารเป็นไข่ ไม่ต้องชวน กะทิก็ชิมจนหมดทุกครั้ง
            รถสองแถววิ่งผ่านปากทางเข้าบ้าน ตาขี่จักรยานพากะทิไปรอขึ้นรถ กะทิชอบกอดเอวตาแน่นๆ ชอบกลิ่นโคโลญตราเรือใบหอมๆของตา ชอบลมอ่อนๆที่พัดมาไล่เหงื่อชื้นให้แห้งหายไป เด็กๆอัดแน่นมาเต็มรถแล้ว เพราะโรงเรียนอยู่อีกไม่ไกล ตาส่งเสียงให้ผู้โดยสารขยับที่ให้กะทิพอนั่ง แล้วสั่งให้ลุงหล่อคนขับออกรถช้าๆ
            เด็กๆเอาปิ่นโตไปวางเรียงในโรงอาหารก่อนเอากระเป๋าหนังสือไปเก็บในห้องเรียน ปิ่นโตเล็กใหญ่สูงต่ำต่างสี เสียงกริ่งสัญญาณพักเที่ยงดังก้องกังวาน กะทิวิ่งแข่งลงบันไดมากับเพื่อนๆ สวนกับพี่ทองที่หน้าห้องพักครู พี่ทองยิ้มให้ก่อนที่จะแยกตัวกลับไปวัด พี่ทองบอกว่าทุกกลางวันมีอาหารบุฟเฟ่ต์รออยู่
            ตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน กะลิล้างปิ่นโตและวางคว่ำไว้ที่อ่างในครัว ค่ำๆค่อยมาเช็ดให้สะอาดอีกที แล้วยกไปวางข้างเตาใกล้มือยายตตอนเช้า ในยามค่ำคืน ปิ่นโตคงถามเตาไฟแกเหงาว่า วันที่ผ่านมายายทำอะไรบ้างนอกจากโมโหตา
"ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่เลย"
            กะละมังบอกให้รู้ว่ายายอยู่ตรงส่วนไหนของบ้าน กะทิมีหน้าที่เก็บผ้าจากราวใส่กะละมังให้ยาย ทำมาตั้งแต่เอื้อมมือไม่ถึงไม้หนีบผ้าบนราว  ที่จริงไม้หนีบผ้าเมื่อตอนซื้อมาก็เป็นไม้หนีบผ้าทำจากเนื้อไม้ธรรมดา กะทิเองที่เอามาลงสีเทียนบ้าง สีไม้บ้าง สีน้ำบ้าง ตามถนัดในแต่ละวัย
            ในห้องอเนกประสงค์ของยาย หรือที่ตาเรียกว่าออฟฟิศของยาย จะมีกะละมังวางเข้าแถวไว้ กะทิต้องแยกผ้าที่เก็บมาใส่ลงกะละมังให้ถูกต้อง เสื้อผ้าของตา ของยาย ของกะทิเอง แยกคนละใบ เสียงฝนสาดซ่ากระทบหลังคาชวนฟังมากขึ้นเมื่อมีเสียงเปราะแปะกระทบกะละมังที่ใครคงเผลอลืมไว้นอกชายคาแทรกผสมเข้ามา กะทินอนฟังเพลิน แต่จะเริ่มสะดุ้งหากเสียงรัวกราวพ่ายต่อเสียงครั่นครื้นของฟ้าเสียงสายฟ้าฟาดเหมือนตามมาด้วยเสียงคนกรีดร้องปานใจสลายทุกครั้งไม่รู้ว่าหูของกะทิแว่วไปเองหรือเสียงนั้นดังมาจากเบื้องลึกของความทรงจำ
"ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่" 
ตาหาซื้อเรืออีแปะหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเรือป๊าบมาไว้พายเล่นในทุ่งหน้าน้ำ ตาบอกว่าเป็นการปลีกวัิเวกพ้นจากมลพิษทางเสียง (ของยาย) กะทิกับตาจะไปกันสองคนออกเดินทางกันตอนสายๆ ตาพายเรือสบายๆผ่านมาในคลองที่สองข้างทางมีไม้ผลให้เห็น เช่น มะม่วง ชมพู่ ต้นโสน ที่ชอบขึ้นริมน้ำบ้าง ตาไม่หยุดแวะพัก แต่ร้องทักทายทุกคนที่เห็น ลุงสนกำลังทอดแหอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้านท่าทางจะได้ปลาตะเพียนหลายตัว ตาบอกว่าขากลับจะแวะขอปันไปให้ยายแช่น้ำปลาทอดกรอบเป็นอาหารเย็นให้กะทิ


1 ความคิดเห็น: